แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 47
1
ปัจจัยสำคัญในการใช้ผ้ากันไฟ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การใช้ผ้ากันไฟให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งในด้านการเลือกใช้ การติดตั้ง การใช้งาน และการดูแลรักษา โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้:

1. การเลือกผ้ากันไฟที่เหมาะสม

ประเภทของวัสดุ:
เลือกวัสดุให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน เช่น ผ้าใยแก้วสำหรับงานทั่วไป ผ้าซิลิกาสำหรับงานที่ต้องการการป้องกันความร้อนสูง หรือผ้าเคฟลาร์สำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง
พิจารณาคุณสมบัติของวัสดุ เช่น ความทนทานต่ออุณหภูมิ แรงดัน และสารเคมี

ขนาดและรูปแบบ:
เลือกขนาดผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน
เลือกรูปแบบที่สะดวกต่อการใช้งาน เช่น ผ้าผืน ผ้าห่ม หรือผ้ากันเปื้อน

มาตรฐาน:
เลือกซื้อผ้ากันไฟที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น UL, FM หรือ NFPA

2. การติดตั้งที่ถูกต้อง

ตำแหน่งที่เหมาะสม:
ติดตั้งผ้ากันไฟในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้สูง และอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย

การยึดติดที่แน่นหนา:
ยึดติดผ้ากันไฟให้แน่นหนา เพื่อป้องกันการหลุดร่วงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้

3. การใช้งานอย่างถูกวิธี

การฝึกอบรม:
ฝึกอบรมพนักงานหรือผู้อยู่อาศัยให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้งานผ้ากันไฟอย่างถูกต้อง

การใช้งานตามวัตถุประสงค์:
ใช้ผ้ากันไฟตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้เท่านั้น

4. การดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจสอบสภาพ:
ตรวจสอบผ้ากันไฟเป็นประจำ เพื่อหารอยชำรุดหรือความเสียหาย

การทำความสะอาด:
ทำความสะอาดผ้ากันไฟตามคำแนะนำของผู้ผลิต

การเก็บรักษา:
เก็บผ้ากันไฟในที่แห้งและเย็น เพื่อป้องกันความชื้นและเชื้อรา

5. การวางแผนและการเตรียมพร้อม

การวางแผนอพยพ:
วางแผนการอพยพในกรณีเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ และกำหนดจุดรวมพล

การฝึกซ้อม:
ฝึกซ้อมการใช้งานผ้ากันไฟและแผนอพยพเป็นประจำ

6. ข้อควรระวัง
การเปลี่ยนผ้ากันไฟเมื่อหมดอายุ:
ผ้ากันไฟมีอายุการใช้งานจำกัด ควรเปลี่ยนผ้ากันไฟเมื่อหมดอายุการใช้งาน

การระมัดระวังอันตราย:
ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยจากความร้อนและสารเคมีอันตราย
การปฏิบัติตามปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผ้ากันไฟสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันอัคคีภัย

2
แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เหมาะสม ของการเริ่มต้นอาชีพเสริม สำหรับมือใหม่

สำหรับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นอาชีพเสริมออนไลน์ การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับมือใหม่:

1. แพลตฟอร์ม E-commerce:

Shopee/Lazada:
เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในประเทศไทย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าออนไลน์
มีเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ขายเริ่มต้นได้ง่าย เช่น ระบบจัดการร้านค้า ระบบชำระเงิน และระบบขนส่ง
มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น
มีคอร์สเรียนรู้สำหรับผู้ขายมือใหม่

LINE SHOPPING:
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าที่ใช้ LINE เป็นประจำ
สามารถเชื่อมต่อกับบัญชี LINE OA ทำให้ง่ายต่อการสื่อสารกับลูกค้า
มีเครื่องมือช่วยสร้างร้านค้าออนไลน์ได้ง่าย

2. แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย:

Facebook Marketplace:
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้ามือสอง หรือสินค้าทำเอง
ใช้งานง่าย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย
สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายได้โดยการโฆษณา

Instagram:
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าที่มีภาพสวยงาม หรือสินค้าแฟชั่น
มีฟีเจอร์ Instagram Shopping ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้โดยตรงจากโพสต์

TikTok
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้นเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการ
มีฟีเจอร์ TikTok Shop ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้โดยตรงจากวิดีโอ

3. แพลตฟอร์มฟรีแลนซ์:

Fastwork/Freelancebay:
เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะเฉพาะด้าน เช่น การเขียนบทความ แปลภาษา ออกแบบกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอ
มีงานหลากหลายประเภทให้เลือกทำ และสามารถกำหนดค่าตอบแทนได้เอง

4. แพลตฟอร์มสร้างคอนเทนต์:

YouTube:
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างคอนเทนต์วิดีโอ และหารายได้จากโฆษณาหรือสปอนเซอร์
มีฐานผู้ชมขนาดใหญ่ และสามารถสร้างรายได้ในระยะยาว

Blockdit:
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเขียนบทความ หรือสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ
มีฐานผู้ใช้งานที่สนใจเนื้อหาที่หลากหลาย

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของคุณ และกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ศึกษาการใช้งานแพลตฟอร์ม และเรียนรู้เทคนิคการตลาดออนไลน์
สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการเริ่มต้นอาชีพเสริมออนไลน์

3
มอเตอร์ไซด์ใหม่ 2025 เอเจ อีวี ไบค์ AJ EV BIKE Taurus EV ปี 2024
N/A

เอเจ อีวี ไบค์ AJ EV BIKE Taurus EV ปี 2024
AJ TAURUS น้องเล็กสุดที่มาพร้อมความปลอดภัยระบบเบรค CBS ด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อมือถือในการเปิด-ปิดการทำงานของรถ โดยไม่ต้องใช้กุญแจ พร้อมกับพลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3000 W เรียกได้ว่า ตัวเล็กสเปคโตเลยทีเดียว ระยะเวลาชาร์จ 2-3 ชั่วโมง ความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม. ระยะทาง 75-80 กม.

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              AJ EV BIKE
   รุ่น                   เอเจ อีวี ไบค์ AJ EV BIKE Taurus EV ปี 2024
   ประเภทรถ           รถครอบครัวแบบสกู๊ตเตอร์, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว           2024
   ราคา                N/A

สเปค
   รูปแบบเกียร์        เกียร์ออโต้
   ระบบเกียร์                 อัตโนมัติ
   รายละเอียดเครื่องยนต์   กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า HUB Motor 3,000 วัตต์
   ระบบระบายความร้อน
   ระบบสตาร์ท
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)   CC
   แบบเครื่องยนต์
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง      ไฟฟ้า
   ระบบจ่ายน้ำมัน
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        0 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน              ล้อหน้า โช้คหัวตั้ง, ล้อหลัง โช้คคู่
   ระบบเบรค                     ล้อหน้า ดิสก์เบรก (CBS), ล้อหลัง ดรัมเบรก ()
   แบบวงล้อ                      แมกซ์
   ขนาดยาง                       ล้อหน้า ขนาด 12 นิ้ว, ล้อหลัง ขนาด 12 นิ้ว
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)  1,750 x 740 x 1,150
   น้ำหนักตัวรถ                     58.00 กก.

4
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส มีข้อจำกัดหรือไม่
 
หลายคนคงทรายกันดีอยู่แล้วว่า การเข้ารับการจัดฟัน เป็นการรักษาที่ต้องใช้ความต่อเนื่องและยาวนาน บางคนอาจจะใช้เวลาหลายปี ต้องมีความรับผิดชอบ ทั้งเรื่องเวลา ระเบียบวินัย และค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการจัดฟัน ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องไปพบทันตแพทย์ทุกเดือน แต่การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ดีต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบัน เพราะไม่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ


แม้ว่าการจัดฟันจะเป็นวิธีที่ได้ผลดี แและมีการพัฒนาไปมาก แต่การเข้ารับการจัดฟันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ด้วยเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน บางคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากหรือโรคที่เกี่ยวกับช่องปาก ทันตแพทย์อาจจะแนะนำให้เข้ารับการรักษาก่อน จนมีความพร้อมที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส  สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงข้อจำกัดของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ที่หลายคนอาจจะมีความกังวลว่า จะเข้ารับการรักษาได้หรือไม่ นอกจากเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ยังเป็นข้อจำกัดของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส
 
สำหรับข้อจำกัดของการจัดฟันแบบใส แน่นอนว่าแย่างแรกเลยคือ การจัดฟันแบบใส มีราคาสูง นอกจากขั้นตอนการเข้ารับการจัดฟันแล้ว ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมความพร้อม เช่น การพิมพ์ปาก เอกซเรย์ เคลียร์ช่องปาก จัดฟัน ทำรีเทนเนอร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีความพร้อมในเรื่องของงบประมาณด้วย นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใส จะต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันเป็นเวลานาน


ซึ่งกว่าที่เราจะจัดฟันเสร็จและต้องพบทันตแพทย์ตามที่นัดหมายทุกครั้ง เพื่อเข้ารับการปรับเครื่องมือและรับเครื่องมือการจัดฟันชุดใหม่ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องวางแผนให้ดีๆ เพราะอาจมีผลกระต่อแพลนที่วางไว้ เช่น เรียนต่อต่างประเทศ ย้ายงาน หรือย้ายที่อยู่อาศัย ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราได้ทั้งนั้น ต่อมาคือ  การทำความสะอาดของช่องปากและฟัน ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องดูแลเอาใจใส่ในเรื่องความสะอาดในช่องปากมากขึ้น


ต้องพิถีพิถันทำความสะอาดฟันหลังอาหารทุกครั้ง ถึงแม้ว่า การจัดฟันแบบใส จะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้เวลาที่จะต้องทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพราะการจัดฟันไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบไหน หรือไม่ได้เข้ารับการจัดฟัน ก็ต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะป้องกันการเกิดฟันผุและปัญหาอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้ ก็คือ ข้อจำกัดในการรักษาด้วยการเข้ารับการจัดฟันแบบใส
ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทางที่ดีก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ผู้เข้ารับการจัดฟันควรที่จะปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา


และที่สำคัญที่สุดในเรื่องของระเบียบวินัย ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีระเบียบวินัย ในการสวมใส่เครื่องมืออย่างน้อยวันละ 20-22 ชั่วโมง เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ เพราะถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันไม่สวมใส่เครื่องมือตามที่ทันตแพทย์กำหนด ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาคลาดเคลื่อนได้ ทำให้เครื่องมือการจัดฟันทำงานได้ไม่เต็มที่ จะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องยืดระยะเวลาในการจัดฟันนานไปอีก

ทั้งนี้ หากใครสนใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมทุกรูปแบบ รวมไปถึงการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส ทำให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ทางคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ทำให้คลินิกของเรามีคามน่าเชื่อถือ และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่มั่นใจได้อย่างแน่นอน

5
townhome คิวเรเตอร์ สายไหม (Curator Saimai)
เริ่มต้น 2.89 ลบ. - 4.59 ลบ.

คิวเรเตอร์ สายไหม (Curator Saimai)
คิวเรเตอร์ สายไหม บูทีคทาวน์โฮม In Sync With Nature ออกแบบจังหวะที่สมดุลลงตัว กับ Co-Created Boutique Townhome ท่ามกลางบรรยากาศสงบและเป็นส่วนตัว สัมผัสความสดชื่น กับ Greenery ได้ทุกวัน บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อเมือง “สายไหม” เติมเต็มสีสันชีวิตเมืองที่ให้ธรรมชาติร่วมสร้างสรรค์ ครบทุกความต้องการในแบบฉบับ Urban Lifestyle

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              คิวเรเตอร์ สายไหม (Curator Saimai)
 เจ้าของโครงการ         ดิ เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้
 ราคา                     เริ่มต้น 2.89 ลบ. - 4.59 ลบ.
 คำนวณเงินผ่อน         คำนวณเงินผ่อนโครงการนี้

 ประเภทบ้าน           ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน           99 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น            2 ชั้น
 หน้ากว้าง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค      สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, สนามเด็กเล่น

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          เกษตร-นวมินทร์, รามอินทรา, สายไหม
 ที่ตั้ง          ซอยสายไหม 50 แขวงสายไหม เขตสายไหม กทม. 10220

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(คูคต)
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(แยก คปอ.)
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนพิเศษฉลองรัช รามอินทรา-อาจณรงค์ / ทางด่วนพิเศษกาญจนา / ทางยกระดับอุตราภิมุข)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ห้างสรรพสินค้า / ตลาดสด
Big C สายไหม
เอซี พลาซ่า สายไหม & ตลาดเอซี
Foodlaand สายไหม
Makro ตลาดวงศกร
ตลาดวงศกร
Sai Mai Avenue
ตลาดนัดสายไหม
Tops สายไหม
ตลาดออเงิน
ตลาดมารวย หทัยราษฏร์ 54

สถานศึกษา

รร.สารสาสน์วิเทศ สายไหม
รร.ฤทธิยะวรรณาลัย
รร.ฤทธิยะะวรรณาลัย 2
รร.ประเทืองทิพย์วิทยา

สถานพยาบาล

รพ.ซีจีเอช สายไหม
รพ.ภูมิพล
รพ.บีแคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ สายไหม
รพ.สินแพทย์ ลำลูกกา

6
หมอประจำบ้าน: สิ่งแปลกปลอมเข้าหู (Foreign body in ear canal)

สิ่งแปลกปลอมเข้าหู เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ส่วนใหญ่ไม่มีอันตราย ส่วนน้อยอาจทำให้หูอักเสบจากการติดเชื้อ

สิ่งแปลกปลอมมักเป็นวัตถุขนาดเล็ก เช่น เมล็ดผลไม้ เมล็ดถั่ว ลูกปัด เศษก้อนยางลบ เศษกระดาษ เศษไม้ เศษอาหาร ชิ้นส่วนของเล่นขนาดเล็ก ถ่านกระดุม (button battery) เป็นต้น มักพบในเด็กเล็กที่ชอบเล่นซนหรืออยากลองอยากรู้ นำวัตถุไปแหย่ใส่เข้าไปติดอยู่ในรูหู ส่วนในผู้ใหญ่อาจเกิดจากการชอบแคะหูหรือปั่นหู แล้วมีเศษสำลีหรือกระดาษทิชชูติดอยู่ในรูหู

บางครั้งอาจเกิดจากเหตุบังเอิญที่มีแมลงขนาดเล็ก (เช่น ลูกแมลงสาบ ยุง มด หมัด เห็บ) บินหรือไต่เข้าไปอยู่ในหู ซึ่งอาจพบได้ในคนทุกวัย การนอนบนพื้น หรือนอนอยู่บริเวณนอกบ้านหรือกลางป่า หรือการอุ้มสัตว์เลี้ยงพาดบ่า มีความเสี่ยงต่อการมีแมลงไต่เข้าหู

สาเหตุ

มักเกิดจากการเอาสิ่งแปลกปลอมแหย่ใส่เข้าไปในหู หรือมีแมลงบินหรือไต่เข้าหู

อาการ

อาการขึ้นกับชนิดและขนาดของสิ่งแปลกปลอม

ถ้าเป็นแมลงเข้าหู อาจมีความรู้สึกว่ามีแมลงดิ้นไปมา หรือมีเสียงดังหึ่ง ๆ อยู่ในหูน่ารำคาญ หรือมีอาการปวดเจ็บในหู

ถ้าเป็นวัตถุแปลกปลอมเข้าหู อาจรู้สึกมีอะไรกลิ้งไปมาในรูหู หรือมีเสียงดังขลุกขลักเวลาเคี้ยวอาหารหรืออ้าปาก-หุบปาก บางครั้งอาจไม่มีอาการอะไรและปล่อยไว้ไม่ได้แก้ไข ก็อาจเกิดอาการปวดเจ็บในหู หูอื้อ มีน้ำหนองไหล (เนื่องจากหูอักเสบ) ตามมา

ถ้าเป็นวัตถุชิ้นโตที่อุดแน่นรูหู ทำให้มีอาการปวดหู หูอื้อ หูตึง การได้ยินลดลง

บางครั้งอาจพบว่ามีเลือดออกจากหู เนื่องจากเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มีความแหลมคม หรือเนื่องเพราะมีความพยายามใช้อุปกรณ์เขี่ยเอาสิ่งแปลกปลอมออกเองจนเกิดแผลถลอก

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไอหรือกระแอมร่วมด้วย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นจากการมีสิ่งแปลกปลอมไประคายเคืองต่อช่องหู

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด เมื่อเอาสิ่งแปลกปลอมออกก็จะหายเป็นปกติ

แต่ถ้าปล่อยให้สิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในรูหูเป็นเวลานาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเศษพืช หรือเศษอาหาร) อาจเกิดการติดเชื้อ ทำให้หูชั้นนอกอักเสบ มีอาการไข้ ปวดหู หูอื้อ การได้ยินลดลง มีน้ำหนองไหล

บางรายอาจทำให้เกิดแก้วหูทะลุ

สำหรับสิ่งแปลกปลอมที่เป็นถ่านกระดุม (button battery ซึ่งใช้กับของเล่นและอุปกรณ์ต่าง ๆ) หากปล่อยไว้ สารเคมีภายในถ่านอาจรั่วไหลออกมา ทำให้ผิวหนังในช่องหูไหม้ เยื่อแก้วหูทะลุ เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน รวมทั้งอาจทำลายอวัยวะต่าง ๆ ภายในหูชั้นกลาง ทำให้หูหนวกได้ อันตรายจากถ่านกระดุมนี้มักเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง (พบว่าเร็วสุด อาจเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุเพียง 1-2 ชั่วโมง)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

ที่สำคัญคือ การใช้เครื่องส่องหู (otoscope) ตรวจพบสิ่งแปลกปลอมอยู่ในรูหู

ในรายที่สงสัยว่ามีถ่านกระดุม (button battery) เข้าหู แพทย์จะทำการตรวจด้วยการเอกซเรย์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าเป็นแมลงเข้าหู ให้ผู้ป่วยเอียงหูข้างที่มีแมลงตั้งขึ้นด้านบน แล้วดึงใบหูไปด้านหลังเพื่อให้รูหูอยู่ในแนวตรง แล้วใช้น้ำมันพืช (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะกอก) น้ำมันทาตัวเด็ก (เบบี้ออยล์) ยาหยอดหู หรือน้ำยากลีเซอรีนโบแรกซ์ ค่อย ๆ หยอดใส่ลงไปในรูหูจนเต็ม รอจนเห็นแมลงไต่หรือลอยขึ้นมา แล้วทำการเขี่ยหรือคีบออก

ถ้าไม่เห็นแมลงไต่หรือลอยขึ้นมา ก็จะให้เอียงหูข้างนั้นลงมาด้านล่าง ให้ของเหลวที่หยอดนั้นไหลออกมา โดยใช้ผ้า กระดาษ หรือภาชนะรอง ดูว่ามีแมลงหลุดออกมาหรือไม่

2. ถ้าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นวัตถุ ให้เอียงหูข้างที่มีปัญหาไปทางด้านล่าง (หันลงไปทางพื้น) และดึงใบหูไปด้านหลังเพื่อให้รูหูอยู่ในแนวตรง เขย่าศีรษะเบา ๆ ถ้าเป็นสิ่งเล็ก ๆ อาจหลุดออกมาได้

3. ถ้าลองปฏิบัติดังกล่าวแล้วไม่ได้ผล แพทย์จะใช้เครื่องมือช่วยเอาออก ซึ่งมีให้เลือกหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของสิ่งแปลกปลอมและตำแหน่งที่สิ่งแปลกปลอมติด เช่น ใช้ปากคีบเล็กคีบออก ใช้เครื่องดูดดูดออก ใช้น้ำฉีดล้างออก เป็นต้น (สำหรับเด็กเล็ก ซึ่งมักดิ้นไปมา ทำให้ยากต่อการทำ แพทย์อาจจำเป็นต้องวางยาให้หลับ)

ผลการรักษา เมื่อนำสิ่งแปลกปลอมออกได้ก็มักจะหายเป็นปกติ

ส่วนในรายที่ปล่อยจนมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์ก็จะให้การรักษาตามภาวะที่พบ (เช่น ให้ยาปฏิชีวนะสำหรับผู้ที่มีหูอักเสบ ให้การรักษาเยื่อแก้วหูที่ทะลุ) ซึ่งมักจะหายขาดได้


การดูแลตนเอง

ถ้าสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าหู ควรไปพบแพทย์โดยเร็วถ้ามีอาการปวดหูมาก หรือมีเลือดหรือน้ำหนองไหล

ถ้าไม่มีอาการดังกล่าว ควรทำการปฐมพยาบาล ดังนี้

1. ห้ามใช้นิ้วมือ ไม้พันสำลี ไม้แคะหู ก้านไม้ขีดไฟ หรืออุปกรณ์ใด ๆ พยายามเขี่ยเอาสิ่งแปลกปลอมออก เพราะอาจดันให้สิ่งแปลกปลอมลึกเข้าไป ทำให้แก้วหูทะลุหรือเกิดแผลถลอกในช่องหูได้ และทำให้การเอาออกในภายหลังมีความยากมากขึ้น

2. ถ้าสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งไม่ได้เป็นของแข็ง (เช่น เป็นเศษกระดาษ หรือสำลี) และอยู่ตื้นพอที่จะคีบออกได้ ให้ใช้ไฟส่องสว่างเพื่อให้เห็นชัดเจน ใช้ปากคีบหรือแหนบค่อย ๆ คีบวัตถุนั้นออกมา ถ้ายังมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่ายังมีวัตถุบางส่วนตกค้างอยู่ ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

3. ถ้าสงสัยว่ามีแมลงเข้าหู ให้ใช้น้ำมันพืช (ซึ่งมีอยู่ในห้องครัว) หรือน้ำมันทาตัวเด็ก (เบบี้ออยล์) หยอดใส่เข้าไปในรูหูข้างที่มีอาการ โดยทำตามวิธีเดียวกับการรักษาโดยแพทย์ดังกล่าวข้างต้น (ดูหัวข้อ "การักษาโดยแพทย์" ด้านบน)

วิธีนี้ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีเยื่อแก้วหูทะลุ และไม่ควรใช้กับสิ่งแปลกปลอมที่เป็นวัตถุ เพราะอาจดันให้วัตถุนั้นเข้าไปลึกมากขึ้น และถ้าเป็นวัตถุที่ดูดซับของเหลวได้ (เช่น สำลี กระดาษ เศษพืช เศษอาหาร) ก็อาจทำให้วัตถุพองตัวอุดแน่นรูหูมากขึ้น

4. ถ้าสงสัยมีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นวัตถุ ให้เอียงหูข้างที่มีปัญหาไปทางด้านล่าง (หันลงไปทางพื้น) และดึงใบหูไปด้านหลังเพื่อให้รูหูอยู่ในแนวตรง เขย่าศีรษะเบา ๆ ถ้าเป็นสิ่งเล็ก ๆ จะหลุดออกมาได้ หากไม่ได้ผลควรไปพบแพทย์

ไม่ควรใช้ของเหลว (เช่น น้ำ น้ำมันพืช ยาหยอดหู) หยอดหู เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหากมีเยื่อแก้วหูทะลุที่เกิดมาจากสิ่งแปลกปลอม

5. ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเลือดหรือน้ำหนองไหลออกจากหู หรือมีเยื่อแก้วหูทะลุ ซึ่งไม่ควรหยอดของเหลวเข้าไปในหู
    สิ่งแปลกปลอมเป็นถ่านกระดุม ควรไปพบแพทย์ด่วน เพื่อให้แพทย์ช่วยเอาออกมาให้เร็วที่สุด เนื่องจากหากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทำให้หูพิการได้
    หลังจากทำการปฐมพยาบาลแล้วไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา หรือหลังจากเห็นสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาแล้วแต่ยังมีอาการปวดหู หูอื้อ และการได้ยินลดลงอยู่เหมือนเดิม หรือสงสัยว่ายังมีสิ่งแปลกปลอมบางส่วนค้างคาอยู่ในหู
    ไม่มั่นใจที่จะทำการแก้ไขด้วยตัวเอง
    กังวลหรือสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมค้างคาอยู่ในหู แม้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ

การป้องกัน

    คอยระมัดระวัง เก็บเศษวัตถุ (รวมทั้งถ่านกระดุม) ทิ้ง ไม่ให้เด็กหยิบได้
    ห้ามปรามและคอยเฝ้าระวัง ไม่ให้เด็กเล็กเล่นซนเอาสิ่งแปลกปลอมแหย่ใส่เข้าไปในหู
    หลีกเลี่ยงการปั่นหู หรือแคะหูเล่น (นอกไม่มีความจำเป็นแล้วยังอาจเกิดผลเสียได้)
    หลีกเลี่ยงการนอนบนพื้นและนอนในที่ที่มีความเสี่ยงต่อการมีแมลงเข้าไปหู
    รักษาที่นอนให้สะอาด และคอยระวังไม่ให้มีแมลงในบ้านและในห้องนอน
    ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงขึ้นมาบนที่นอน และไม่ควรอุ้มสัตว์เลี้ยงพาดบ่า เพื่อป้องกันไม่ให้เห็บหรือหมัดจากสัตว์เลี้ยงไต่เข้าหู

ข้อแนะนำ

1. เด็กเล็กที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูเพราะแอบเล่นซน อาจไม่บอกให้ผู้ปกครองทราบ เพราะกลัวถูกดุหรือลงโทษ ทำให้ไม่ทราบปัญหา และปล่อยปละให้เกิดความล่าช้าในการรักษา จนอาจมีภาวะแทรกซ้อน และมีความยุ่งยากในการรักษาได้ ผู้ปกครองควรสังเกตอาการและพฤติกรรมการเล่นของเด็ก หากเด็กบ่นว่ามีอาการปวดหู หูอื้อ หรือสงสัยมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหู (โดยยังไม่มีอาการผิดปกติ) ไม่ควรดุว่าเด็ก ควรพูดคุยถามไถ่ด้วยดี และพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว

2. เมื่อพบเด็กมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหู ควรตรวจดูให้ถี่ถ้วนว่าอาจมีสิ่งแปลกปลอมในหูอีกข้าง และในจมูกหรือไม่ เพราะบางครั้งเด็กอาจแหย่ใส่วัตถุเข้าหลายที่ก็ได้

3. สำหรับผู้ป่วยที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าหูบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่ชอบดิ้นไปมา ระหว่างทำการเอาสิ่งแปลกปลอมออกแพทย์อาจจำเป็นต้องวางยาสลบ ซึ่งเพื่อความปลอดภัย ผู้ป่วยต้องงดน้ำและอาหารก่อนเป็นเวลา 8-12 ชั่วโมง ดังนั้น ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเดินทางไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ควรงดน้ำและอาหารตั้งแต่อยู่ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอยู่รอเตรียมตัวในการวางยาสลบนานไป

7
คอนโดติดรถไฟฟ้า นิช โมโน พระราม 9 (Niche Mono Rama9)
เริ่มต้น 2.29 ลบ. 

นิช โมโน พระราม 9 (Niche Mono Rama9)
คอนโดแนวคิดใหม่ใจกลางพระราม 9 ที่เข้าใจทุกมิติของคนรุ่นใหม่ ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์สมาร์ท แบบไม่จำเจกับ FlexyFunction ที่คิดมาเฉพาะ เพื่อให้คุณเลือก ปรับ ขยับ ขยายทุกฟังก์ชั่น ได้เต็มที่กับทุกด้านของชีวิต บนทำเลเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                   นิช โมโน พระราม 9 (Niche Mono Rama9)
 เจ้าของโครงการ              เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย                   นิช โมโน
 ราคา                           เริ่มต้น 2.29 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                 คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี               1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                ตั้งแต่ 25.83 ถึง 56.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                 4 ไร่ 2 งาน 26 ตร.ว.
 จำนวนตึก                     2 อาคาร
 จำนวนชั้น                     8 ชั้น
 จำนวนห้อง                   410 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค              สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน            รัชดา, ห้วยขวาง, พระราม 9, เพชรบุรี
 ที่ตั้ง            ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ                    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

8
EF Line ครบสูตรจัดฟันเด็กเล็ก ปรับโครงหน้า แก้พฤติกรรมผิดปกติ

ในปัจจุบัน นวัตกรรมทางทันตกรรมในประเทศไทยและทั่วโลก ถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นเรื่อย ๆอย่างรวมเร็วแบบก้าวกระโดดจนน่าตกใจ อีกทั้งยังค่อยๆลบล้างความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของคนจำนวนมากที่เข้าใจผิดให้กลับสู่แนวคิดที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม โดยใช้เหตุผลและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งความเชื่อหนึ่งที่หลายๆท่านนั้นเข้าใจผิดมาโดยตลอด และส่วนใหญ่ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ นั่นก็คือ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรจัดฟัน ซึ่งอาจจะมีหลายๆเหตุผลที่ทำให้เกิดแนวความคิดแบบนี้ แต่ในปัจจุบันนั้นทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ทำการศึกษาวิจัยและพบว่า การจัดฟันในเด็กสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ โดยอุปกรณ์ทางทันตกรรมสุดล้ำสมัย EF Line

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ EF Line อย่างละเอียดเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนะคติของท่านผู้อ่านเรื่องการจัดฟันเด็ก รวมถึงประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า พฤติกรรมที่ส่งผลเสียเกี่ยวกับฟัน รวมถึงแก้อาการนอนกรน ซึ่ง EF Line สามาช่วยช่วยได้แบบครบเครื่องจนน่าตกใจ โดยรายละเอียดต่าง ๆมีดังต่อไปนี้

EF Line คืออะไร ?

    EF Line เป็นชุดเครื่องมือทางทันตกรรม ที่สามารถใช้แก้ปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น รวมถึงจัดการฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ ซึ่งถือว่า EF Line นั้นเป็นเครื่องมีที่มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่ครบสูตรที่สุดในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่แล้วตามหลักการ EF Line จะสามารถใช้ได้ดีกับช่วงอายุประมาณ 4 ปี – 15 ปี โดยยิ่งใช้เร็วเท่าไหร่การรักษาก็จะง่ายขึ้นไปด้วยตามลำดับ


EF Line ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?

หลายๆท่านอ่านมาถึงจุดนี้แล้ว เกิดความสงสัยว่า EF Line ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง เพราะที่กล่าวมาเยอะจนน่าประหลาดใจ แต่ขอบอกเลยว่า EF Line เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่คุ้มค่ามาก ๆ ซึ่งจะขอกล่าวถึงการแก้ปัญหาต่าง ๆของอุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ให้เข้าใจกันมากขึ้นว่ามีอะไรบ้าง ดังต่อไปนี้

1.    ฟันล่างสบคร่อมฟันบน

    มีลักษณะฟังล่างหน้าสบคร่อมฟันบนหน้า อาจจะเป็นแค่ซี่เดียวหรือหลายซี่ก็ได้ ซึ่งถ้าหากว่าไม่รีบทำการรักษาจะทำให้ขากรรไกรเจริญเติบโตผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้เด็กเล็กอาจจะมีใบหน้าเว้าได้ในอนาคต

2. ฟันสบลึก

    จะมีลักษณะฟันหน้าบนสบคร่อมฟันหน้าล่างมากเกินกว่าปกติ ถ้าหากไม่รีบทำการรักษาอาจส่งผลให้ขากรรไกรล่างเจริญเติบโตน้อยผิดปกติ และส่งผลให้มักเกิดอาการบาดเจ็บที่เหงือกเพดานปากด้านในฟันหน้าบน

3. ฟันสบเปิด

    จะมีลักษณะฟันหน้าบนและล่างมีความห่างในขณะที่สบกัน หากไม่รีบรักษาอาจส่งผลถึงการพูดที่ไม่ชัดเจนรวมถึงการกัดอาหารด้วยฟันหน้าอาจจะไม่ขาด


4. นิสัยดูดนิ้ว

    การดูดนิ้วในเด็กอาจเป็นเรื่องธรรมชาติที่เด็กๆจะทำเมื่อรู้สึกเครียดให้เกิดการผ่อนคลาย แต่พฤติกรรมดังกล่าวจะส่งผลให้เด็กมีอาการฟันหน้าสบเปิด หรือมีอาการฟันหน้ายื่นได้ หากว่าไม่รีบทำการรักษา


5. การกัดหรือดูดริมฝีปาก

    พฤติกรรมการกัดปากหรือดูดริมฝีปากหลายคนอาจมองว่าไม่เห็นเป็นอะไรดูธรรมดา แต่แท้ที่จริงแล้วพฤติกรรมแบบนี้จะทำให้เกิดความผิดปกติในช่องปากได้ เช่น ฟันหน้ายื่น ฟันซ้อนเก รวมถึงกล้ามเนื้อคางจะมีอาการเกร็งผิดปกติ


6. การหายใจทางปาก

    ส่วนใหญ่เด็กที่มีการหายใจทางปากมักจะพบในบุคคลที่มีบางอย่างมารบกวนกระบวนการหายใจตามปกติ เช่น ภูมิแพ้ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นต้น หากปล่อยทิ้งไว้ผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ขากรรไกรแคบกว่าปกติ สบฟันหน้าเปิด


7. คางเบี้ยว

    มีอาการขากรรไกรล่างแบนไปจากแนวกลางใบหน้า เนื่องจากมีตำแหน่งฟันที่ผิดปกติ หรือการสูญเสียฟันน้ำนมก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้กระดูกเบ้าฟันส่วนนั้นเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติที่ควรจะเป็น รวมถึงฟันรอบข้างมีอาการบีบแคบลง

อาการที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นความผิดปกติที่สามารถแก้ไขได้ในวัยเด็กเล็กด้วยอุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line ซึ่งหากท่านรอให้บุตรหลานของท่าน อยู่ในวัยสิ้นสุดการเจริญเติบโตแล้ว จะทำให้การรักษานั้นอาจจะใช้เวลาที่นานหลายขั้นตอน หากพบว่าบุตรหลานของท่านมีอาหารผิดปกติดังที่กล่าวมา ควรรีบพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน



9
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


11
ปล่อยรถผู้บริหาร Bentley Continental GT W12 ปี 2020 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

Bentley Continental GT W12 ปี 2020 เป็นรถยนต์ Grand Tourer สุดหรูที่ผสมผสานประสิทธิภาพอันน่าทึ่งเข้ากับการตกแต่งภายในที่วิจิตรบรรจงและเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อการเดินทางระยะไกลอย่างสะดวกสบายและมีสไตล์ แต่ก็มีพละกำลังที่พร้อมให้คุณขับขี่ได้อย่างเร้าใจ

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 13 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2568
Full Option

ราคาพิเศษ 13,900,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

Bentley Continental GT W12 ปี 2020 เป็นรถยนต์ Grand Tourer สุดหรูที่ผสมผสานประสิทธิภาพอันน่าทึ่งเข้ากับการตกแต่งภายในที่วิจิตรบรรจงและเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อการเดินทางระยะไกลอย่างสะดวกสบายและมีสไตล์ แต่ก็มีพละกำลังที่พร้อมให้คุณขับขี่ได้อย่างเร้าใจ

สำหรับ Bentley Continental GT W12 ปี 2020 ในประเทศไทย:

ราคารถใหม่ (ณ ตอนเปิดตัวปี 2020): โดยปกติแล้ว รถ Bentley มีราคาจำหน่ายสูงมากในตลาดประเทศไทย โดยรุ่น W12 ในปี 2020 อาจมีราคาเริ่มต้นประมาณ 20-25 ล้านบาท หรือสูงกว่า ขึ้นอยู่กับออปชั่นและการตกแต่งที่เลือก ซึ่งลูกค้า Bentley มักจะสั่ง customization เพิ่มเติมจำนวนมาก
ราคารถมือสอง (ณ ปัจจุบัน ปี 2025): จากข้อมูลที่พบในตลาดรถมือสองของไทย Bentley Continental GT W12 ปี 2020 อาจมีราคาอยู่ในช่วง ประมาณ 12 - 19 ล้านบาท โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามสภาพรถ เลขไมล์ ออปชั่นพิเศษที่ติดตั้งมา และประวัติการบำรุงรักษา
ขุมพลังและสมรรถนะ (W12 Engine)
รุ่น W12 ถือเป็นรุ่นท็อปในแง่ของเครื่องยนต์ก่อนที่จะมีการนำเสนอเครื่องยนต์ V8 ที่มีน้ำหนักเบากว่าและประหยัดเชื้อเพลิงกว่า:

เครื่องยนต์: W12 DOHC ขนาด 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ
กำลังสูงสุด: 626 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด: 900 นิวตันเมตร (Nm) ที่ 1,350 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ (Dual-Clutch Automatic Transmission) 8 สปีด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ Quickshift และ Paddle Shift
ระบบขับเคลื่อน: ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (All-Wheel Drive - AWD)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: ประมาณ 3.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด: ประมาณ 333 กม./ชม. (207 ไมล์/ชม.)



12
หมอประจำบ้าน: เมลิออยโดซิส (Melioidosis)

เมลิออยโดซิส เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ พบว่าประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโรคนี้มากที่สุดในโลก และคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นปีละ 2,000-3,000 ราย พบได้ทุกภาคของประเทศ แต่พบมากที่สุดทางภาคอีสาน

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 40-60 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.4 เท่า

ผู้ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อและเป็นโรคนี้ ได้แก่ เกษตรกร และผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการสัมผัสดินและน้ำ (เช่น ทหารที่ฝึกซ้อมในภาคสนาม หรือในการทำสงคราม)

ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย โดยเฉพาะเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง รวมทั้งผู้ที่มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ

โรคนี้พบได้ตลอดปี แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายนถึงกันยายน)

โรคนี้อาจแสดงอาการได้หลายลักษณะ ทั้งเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน และเรื้อรัง บางครั้งอาจเกิดการติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการก็ได้ (ซึ่งเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในร่างกาย ต่อมาภายหลังเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็จะมีอาการเกิดขึ้นได้)

นอกจากนี้ยังอาจมีอาการคล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ (รวมทั้งโรคติดเชื้อร้ายแรง เช่น สแตฟีโลค็อกคัสออเรียส) วัณโรค และมะเร็งต่าง ๆ จึงได้ชื่อว่า ยอดนักเลียนแบบ

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อเมลิออยโดซิส ซึ่งเป็นแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า เบอร์คอลเดเรียสูโดมัลเลไอ (Burkholderia pseudomallei) เชื้ออาศัยอยู่ในดินและน้ำ ส่วนใหญ่เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีบาดแผล (เช่น บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการทำงานในท้องไร่ ท้องนา บาดแผลจากอุบัติเหตุ เช่น รถชน รถคว่ำ บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บาดแผลจากสงคราม เป็นต้น) โดยการสัมผัสดินโคลน หรือน้ำที่มีเชื้อโดยตรง

นอกจากนี้ อาจติดต่อทางการหายใจ (เช่น การสูดหายใจเอาเชื้อเข้าปอด การสำลักน้ำเข้าปอดในผู้ป่วยที่จมน้ำ เป็นต้น) ทางการกิน (เช่น การดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ) การติดจากผู้ป่วย (คนสู่คน) โดยตรงซึ่งพบได้น้อย การติดเชื้อในห้องปฏิบัติการ และการติดเชื้อในโรงพยาบาล

เชื้อเมลิออยโดซิส เมื่อเข้าสู่ร่างกายสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อแทบทุกระบบของร่างกาย ซึ่งพบบ่อยที่สุดคือ กระแสเลือด รองลงมาคือ ปอด ผิวหนัง และเนื้อเยื่อตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อที่ช่องท้อง (ตับ ม้าม ไต ทางเดินปัสสาวะ ลำไส้ ตับอ่อน ต่อมหมวกไต เยื่อบุช่องท้อง) คอหอยและทอนซิล ต่อมน้ำลายพาโรติด ต่อมน้ำเหลือง กล้ามเนื้อ ข้อและกระดูก สมอง เป็นต้น

การติดเชื้อเมลิออยโดซิส แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การติดเชื้อเฉพาะที่ กับการติดเชื้อในกระแสเลือด (ซึ่งยังแบ่งย่อยเป็นแบบแพร่กระจาย และแบบไม่แพร่กระจาย)

อาการ

โรคนี้มีอาการแสดงได้หลายลักษณะ

1. ถ้าเป็นแบบเฉียบพลัน มักจะมีไข้สูง หนาวสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน คล้ายโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น มาลาเรีย ไทฟอยด์ สครับไทฟัส เล็ปโตสไปโรซิส) และมักมีอาการของปอดอักเสบ หรือเป็นฝีกระจายไปทั่วปอด คล้ายการติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัสออเรียส (มีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจหอบ) บางรายอาจมีการติดเชื้อของตับ (ปวดชายโครงขวา ตับโต ดีซ่าน) ม้าม (ปวดชายโครงซ้าย ม้ามโต) ไต (เป็นฝี) ผิวหนัง (ขึ้นเป็นตุ่มนูน ตุ่มหนอง เป็นฝี เป็นต้น) หรืออวัยวะอื่น ๆ ร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบแพร่กระจาย มักมีการอักเสบของอวัยวะหลายแห่งพร้อมกัน อาการจะเป็นมากขึ้นรวดเร็วภายใน 2-3 วัน จนเกิดภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง

ในรายที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบไม่แพร่กระจาย มักจะมีอาการไข้ และอาจมีการติดเชื้อของปอดและอวัยวะอื่นร่วมด้วยเพียง 1-2 แห่ง บางรายอาจไม่พบตำแหน่งติดเชื้อชัดเจน อาการมักจะไม่รุนแรงและมีการเปลี่ยนแปลงช้า โอกาสที่เกิดภาวะช็อกค่อนข้างต่ำ และมีอัตราตายต่ำ แต่บางรายอาจกลายเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือดแบบแพร่กระจายในเวลาต่อมาก็ได้

2. ในรายที่มีการติดเชื้อเฉพาะที่ มักจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยอาจมีไข้ต่ำหรือไม่มีไข้ก็ได้ มักมีอาการน้ำหนักลด และมีอาการแสดงตามความผิดปกติของอวัยวะที่ติดเชื้อ (อาจเกิดเพียง 1 แห่ง หรือพร้อมกันหลายแห่ง) เช่น

    ปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด คล้ายวัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด
    ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ มีอาการต่อมน้ำเหลืองข้างคอโตเรื้อรัง (อาจมีอาการปวดและแดงร้อนหรือไม่ก็ได้) คล้ายวัณโรคต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    ผิวหนัง มีรอยโรคได้หลายแบบ อาจเริ่มด้วยก้อนนูนขนาด 1-2 ซม. อาจมีอาการเจ็บ แต่ไม่มีอาการแดงร้อน (ทำให้ไม่คิดถึงการอักเสบ) หรืออาจมีอาการของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ การติดเชื้อของบาดแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือแผลอักเสบ หรือเป็นฝีแล้วแตกออกเป็นแผล (อาจกลายเป็นแผลเรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ ถึง 10 ปี) รอยโรคที่ผิวหนังอาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายแห่ง และเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของผิวกาย บางรายอาจมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้
    ตับ เป็นฝี เป็นก้อนบวมคลำได้ที่ใต้ชายโครงขวา
    ม้าม เป็นฝี เป็นก้อนบวมคลำได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย
    คอหอยและทอนซิล มีอาการไข้ เจ็บคอ ทอนซิลบวมโต เป็นหนองแบบทอนซิลอักเสบ อาจมีประวัติว่าได้ยารักษาทอนซิลอักเสบมา 1-2 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น
    กล้ามเนื้อและกระดูก พบกล้ามเนื้ออักเสบเป็นหนอง (pyomyositis) กระดูกอักเสบเป็นหนอง (osteomyelitis) ข้ออักเสบ (ข้อบวมแดงร้อน)
    ทางเดินปัสสาวะ พบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ฝีไต ฝีรอบไต (perirenal abscess)
    อื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีสมอง ก้านสมองอักเสบ (brain stem encephalitis) ฝีลำไส้ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ฝีต่อมหมวกไต ฝีตับอ่อน เป็นต้น

ในเด็ก (อายุต่ำกว่า 14 ปี) มักจะพบต่อมน้ำลายข้างหู (พาโรติด) อักเสบเป็นหนอง (suppurative parotitis) ซึ่งไม่พบในผู้ใหญ่ มักเป็นเพียงข้างเดียว โดยมีอาการไข้ ปวดบวมบริเวณหน้าหูคล้ายคางทูม ก้อนจะบวมแดงมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ และอาจมีตุ่มหนองขึ้นที่ผิวหนังบริเวณที่บวม หนองไหลออกจากหูข้างเดียวกัน หรือมีหนังตาอักเสบ (periorbital cellulitis) ร่วมด้วย บางรายอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย ซึ่งอาจรุนแรงถึงตายได้

โดยทั่วไป การติดเชื้อเฉพาะที่มักไม่รุนแรง มักไม่เกิดภาวะช็อก และมีอัตราตายต่ำ แต่บางรายปล่อยไว้ไม่รักษา อาจมีการติดเชื้อเข้ากระแสเลือดแบบแพร่กระจายเกิดภาวะช็อก เป็นอันตรายได้


ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก็คือ ภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ และภาวะการหายใจล้มเหลว

อาจพบภาวะแทรกซ้อนทางปอด เช่น ภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด ภาวะมีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด

อาจพบภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาท เช่น แขนขาอ่อนแรง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน มักมีไข้สูง หายใจหอบ ฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) อาจมีตับโต ม้ามโต (อาจกดเจ็บหรือไม่ก็ได้) ดีซ่าน หรือมีเลือดออกใต้เยื่อบุตา (subconjunctival hemorrhage) อาจพบรอยโรคที่ผิวหนัง (ตุ่มนูน ตุ่มหนอง ฝี)

ในรายที่รุนแรงมักพบภาวะช็อก

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจมีไข้สูง ไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้ มักมีน้ำหนักลด (ซูบผอม) ภาวะซีด และพบรอยโรคของอวัยวะที่เป็นโรค เช่น ปอด (มีเสียงกรอบแกรบ) ตับโต ม้ามโต ผิวหนัง (ตุ่มนูน ตุ่มหนอง ฝี แผลอักเสบ หรือแผลเรื้อรัง) ต่อมน้ำเหลืองโต ต่อมน้ำลายข้างหูโต (คางทูม) ทอนซิลบวมแดงเป็นหนอง ข้อบวมแดงร้อน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (คอแข็ง)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพบเชื้อโดยการย้อมหรือเพาะเชื้อจากเลือดหรือสิ่งคัดหลั่ง (เสมหะ ปัสสาวะ หนองจากผิวหนังหรือฝีของอวัยวะต่าง ๆ) อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง (เช่น indirect hemagglutination test, ELISA) ทำการเอกซเรย์ปอด ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (ดูฝีในตับ ม้าม ไต) เจาะหลัง (ในรายที่สงสัยมีการติดเชื้อของสมอง) ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไต (AST, ALT, BUN, creatinine) ตรวจปัสสาวะ (ดูการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้การดูแลตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ให้สารน้ำและเกลือแร่ ออกซิเจน ใช้เครื่องช่วยหายใจ ผ่าระบายหนอง เป็นต้น

ที่สำคัญคือต้องให้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เซฟทาซิไดม์ (ceftazidime) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ อาจให้เพียงชนิดเดียว หรือให้ร่วมกับโคไตรม็อกซาโซลเข้าหลอดเลือดดำ บางกรณีอาจให้โคอะม็อกซิคลาฟ หรือยาปฏิชีวนะชนิดอื่นแทน

เมื่อดีขึ้นจะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แบบเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงต่อไปอีก 20 สัปดาห์

2. ในรายที่อาการไม่รุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน เช่น

    โคไตรม็อกซาโซล ร่วมกับดอกซีไซคลีน
    ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือแพ้ยาข้างบน ให้โคอะม็อกซิคลาฟ

เมื่ออาการดีขึ้น (มักใช้เวลาประมาณ 10 วันหลังจากเริ่มให้ยา) ควรให้กินติดต่อกันนาน 20 สัปดาห์

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ถ้ามีอาการรุนแรงและเพาะเชื้อจากเลือดให้ผลบวก (ภาวะโลหิตเป็นพิษ) มีอัตราตายร้อยละ 40-75

ถ้ามีการติดเชื้อหลายแห่ง แต่เพาะเชื้อจากเลือดให้ผลลบ มีอัตราตายประมาณร้อยละ 20

ถ้ามีการติดเชื้อเฉพาะที่เพียง 1 แห่ง มีอัตราตายต่ำ ส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปกติ

ผู้ป่วยต้องกินยานาน 20 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกลับกำเริบใหม่ พบว่าถ้าให้ยาน้อยกว่า 8 สัปดาห์ มีอัตราการกลับกำเริบใหม่ร้อยละ 23 และผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราตายประมาณร้อยละ 27


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีไข้เรื้อรังเป็นสัปดาห์ ๆ ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต แผลเรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเมลิออยโดซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 20 สัปดาห์) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 10 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง ชัก หรือแขนขาอ่อนแรง
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคนี้อย่างได้ผล

สำหรับพื้นที่ที่มีโรคนี้ชุกชุม ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และผู้ที่มีบาดแผลตามร่างกาย อาจลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเมลิออยโดซิส โดยการหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่ท่วมขังหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ หรือลงแช่น้ำในห้วยหนองคลองบึง ถ้าต้องเดินย่ำน้ำหรือพื้นดินที่ชื้นแฉะ (ตามตรอก ซอย คันนา ท้องนา ท้องไร่) ให้ใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ

อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นกลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้สเตียรอยด์นาน ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีโรคนี้ชุกชุม) ให้เฝ้าระวังการเกิดโรคนี้ ถ้ามีอาการน่าสงสัยก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและการเกิดภาวะแทรกซ้อน


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการคล้ายโรคติดเชื้อหลายชนิด ทุกครั้งที่วินิจฉัยแยกแยะอาการของโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้ ไอ รอยโรคที่ผิวหนัง เป็นต้น) ควรคิดถึงโรคนี้ไว้ด้วยเสมอ โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ทางภาคอีสานและมีโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์มานาน ๆ หรือในกรณีให้การรักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ (เช่น คางทูม ทอนซิลอักเสบ ฝี แผล ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ข้ออักเสบ เป็นต้น) แล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากโรคนี้ก็ได้

ในรายที่มีไข้และไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ต้องแยกระหว่างวัณโรคปอดกับเมลิออยโดซิส ถ้าตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะ หรือให้ยารักษาวัณโรคแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจเกิดจากเมลิออยโดซิสได้

2. โรคนี้บางครั้งมีอาการคล้ายมะเร็ง คือ น้ำหนักลดรวดเร็ว และมีก้อนบวม (เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ก้อนตับหรือม้ามที่ค่อย ๆ โตขึ้น) นานเป็นแรมเดือนแรมปี หากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเมลิออยโดซิส ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจยืนยัน และถ้าเป็นโรคนี้จริงก็สามารถให้การรักษาให้หายขาดได้

3. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังและกินยาต่อเนื่องนาน 20 สัปดาห์ หากกินไม่สม่ำเสมอหรือกินไม่ครบตามกำหนด ก็อาจมีอาการกำเริบใหม่ได้ (มักเกิดภายใน 21 สัปดาห์ หลังหยุดยา บางรายอาจนานถึง 5 ปีกว่า) ผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบใหม่อาจเกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

13
การตรวจเช็คประสิทธิภาพการทำงาน ของผ้ากันไฟ

การตรวจเช็คประสิทธิภาพการทำงานของผ้ากันไฟ (Fire Blanket) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์นี้พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และยังคงมีประสิทธิภาพในการดับเพลิง

ผ้ากันไฟโดยทั่วไปไม่ได้มีกลไกที่ซับซ้อนที่ต้อง "ทดสอบ" การทำงานเหมือนถังดับเพลิง แต่เน้นไปที่การ ตรวจสภาพทางกายภาพ ความพร้อมในการใช้งาน และความสมบูรณ์ของวัสดุ นี่คือวิธีการตรวจเช็คประสิทธิภาพ:

1. การตรวจเช็คด้วยสายตาและสัมผัส (Visual & Tactile Inspection)
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและควรทำเป็นประจำ (เช่น เดือนละครั้ง สำหรับการตรวจเช็คทั่วไป และ ปีละครั้ง สำหรับการตรวจเช็คละเอียดโดยผู้รับผิดชอบ):

สภาพบรรจุภัณฑ์:
ไม่ฉีกขาด/เสียหาย: ตรวจสอบซองหรือกล่องบรรจุผ้าว่าไม่ฉีกขาด บุบสลาย หรือมีรอยไหม้ใดๆ ซึ่งอาจทำให้ผ้าข้างในเสียหายได้
สะอาดปราศจากฝุ่น/สิ่งสกปรก: ไม่มีฝุ่นเกาะหนาแน่น ไม่มีคราบน้ำมัน จาระบี หรือสารเคมี
ติดตั้งแน่นหนา: หากแขวนผนัง ต้องแน่ใจว่าติดตั้งแน่น ไม่หลุดร่วงง่าย และมองเห็นได้ชัดเจน
สายดึง (Pull Tabs):
มองเห็นได้ชัดเจน: สายดึงต้องไม่ถูกซ่อน หรือพันกันจนดึงยาก
เข้าถึงได้ง่าย: สามารถเอื้อมมือไปดึงได้สะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวาง
ไม่ฉีกขาด/ชำรุด: สายดึงต้องไม่ขาด หรือเปื่อยยุ่ย
คำแนะนำการใช้งาน:
อ่านง่าย ชัดเจน: สัญลักษณ์และคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์ต้องชัดเจน ไม่เลือนลาง หรือถูกปิดทับ
ตัวผ้าเอง (หากเคยเปิดออก หรือตรวจสอบโดยละเอียด):
ไม่มีรอยฉีกขาด/รู: ตรวจสอบเนื้อผ้าว่าไม่มีรอยฉีกขาด เป็นรู หรือมีรอยไหม้ใดๆ แม้รอยเล็กน้อยก็ถือว่าประสิทธิภาพลดลง
ไม่มีรอยพับที่เสียหาย: หากผ้าถูกพับเก็บนาน อาจมีรอยพับที่เสียหายหรือบางลง ควรสังเกตจุดเหล่านี้
ไม่มีคราบสกปรกฝังแน่น: คราบน้ำมัน จาระบี หรือสารเคมี อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทนไฟ
ไม่มีกลิ่นอับ/เชื้อรา: บ่งชี้ว่าผ้าอาจถูกความชื้น ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
สภาพการเคลือบผิว (ถ้ามี): หากเป็นผ้าเคลือบซิลิโคนหรือสารอื่นๆ ควรตรวจสอบว่าสารเคลือบไม่ลอกร่อน แตกร้าว หรือเหนียวเหนอะหนะ


2. การตรวจเช็คเชิงประสิทธิภาพ (Functional Check - with limitations)
การทดสอบประสิทธิภาพของผ้ากันไฟด้วยไฟจริงนั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจะทำให้ผ้าเสียหายและไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทันที

การทดสอบการดึงออก (Deployment Test):
สำหรับผ้าห่มกันไฟใหม่ หรือผ้าที่สงสัยในความพร้อม: สามารถทำการทดสอบโดยการดึงสายดึง เพื่อดูว่าผ้าสามารถกางออกได้อย่างรวดเร็วและไม่มีการติดขัดหรือไม่
ข้อควรจำ: หากทำการทดสอบนี้แล้ว ผ้าควรถูกนำไปเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรนำกลับไปพับเก็บแล้วใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินจริง เพราะอาจพับไม่ถูกต้อง หรือมีรอยยับที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการคลุมไฟ


3. การตรวจสอบข้อมูลและเอกสาร (Documentation & Certification Check)
มาตรฐานรับรอง: ตรวจสอบว่าผ้ากันไฟมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสากล เช่น EN 1869 (มาตรฐานยุโรปสำหรับผ้าห่มกันไฟ) หรือมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น NFPA 701 สำหรับผ้าม่านทนไฟ) การมีมาตรฐานรับรองบ่งชี้ถึงคุณภาพและประสิทธิภาพเบื้องต้น
วันหมดอายุ (Expiry Date): ผ้าห่มกันไฟบางรุ่นอาจมีวันหมดอายุระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ (แม้จะไม่พบบ่อยเท่าถังดับเพลิง) หากมี ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ
ข้อมูลผู้ผลิต: ควรทราบข้อมูลผู้ผลิตและรุ่นของผ้า เพื่ออ้างอิงข้อมูลทางเทคนิคและการรับประกัน


4. สภาพแวดล้อมการจัดเก็บ (Storage Environment)
แห้งและเย็น: ควรจัดเก็บผ้ากันไฟในที่แห้ง ไม่มีความชื้นสูง และมีอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของวัสดุ
พ้นจากแสงแดดโดยตรง: แสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะรังสียูวี อาจทำให้วัสดุบางชนิดเสื่อมสภาพ
ห่างไกลสารเคมี: ไม่ควรเก็บผ้าไว้ใกล้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
พ้นจากการกระแทก/บีบอัด: ควรเก็บในลักษณะที่ไม่โดนสิ่งของทับ หรือกระแทกซ้ำๆ ซึ่งอาจทำให้เนื้อผ้าเสียหายได้


5. การดำเนินการหลังจากใช้งาน (Post-Use Protocol)
เปลี่ยนใหม่ทันที: ผ้ากันไฟที่ถูกใช้งานแล้ว (แม้จะเป็นการใช้งานเพียงเล็กน้อย หรือถูกความร้อนเล็กน้อย) ควรถูกนำไปเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรพับเก็บกลับไปใช้งานซ้ำ เพราะโครงสร้างของผ้าอาจได้รับความเสียหายจากความร้อน ทำให้ประสิทธิภาพในการดับเพลิงลดลงอย่างมาก
การกำจัด: ผ้าที่ใช้งานแล้วควรถูกกำจัดอย่างถูกวิธี ตามข้อกำหนดของเสียในพื้นที่


สรุป: การตรวจเช็คประสิทธิภาพของผ้ากันไฟส่วนใหญ่คือการ ตรวจเช็คสภาพทางกายภาพและความพร้อมในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งหลังจากใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าผ้ากันไฟจะยังคงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่พร้อมช่วยชีวิตและทรัพย์สินเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์ดับเพลิงอื่นๆ สามารถสอบถามได้เลยครับ

14
บริการด้านอาหาร: อาหารต้านอนุมูลอิสระ รับประทานอย่างไร
 
หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การที่เราได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์นั้น ดีต่อร่างกายของเราอย่างไร บางคนมีโรคประจำตัว หรืออยู่ในช่วงของการเจ็บป่วย ซึ่งจำเป้นอน่างมากที่ต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ หรืออาหารที่เป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระสารต้านอนุมูลอิสระ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในผักผลไม้ ซึ่งผักผลไม้มีคุณประโยชน์ด้านเป็นอาหาร กากใย ซึ่งช่วยการขับถ่าย ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการเจ็บป่วย ตลอดจนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งด้วย

แต่ถ้าจะให้ได้ประโยชน์กับร่างกายที่สุด ควรรับประทานผักผลไม้ที่หลากหลายและมีสีสันต่างๆ หมุนเวียนไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างสมดุล สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราเน้นย้ำมาตลอดนั่นก็คือ การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งจะเป็นการทำให้ร่างกายของเราได้รับสารที่จำเป็นและครบถ้วน อย่างไรก็ตาม คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด

ยิ่งจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารให้ครบถ้วน และใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินให้มากเป็นพิเศษ เพราะผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดนั้น อาจจะทำให้ร่างกายของเรารู้สึกไม่อยากรับประทานอาหาร หรือบางคนมีแผลในปากซึ่งก็เป็นอุปสรรค และอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาจจะทำให้ผู้ป่วยมีสัมผัสรสชาติที่เปลี่ยนไปทำให้รับประทานอาหารไม่อ่อนเหมือนเดิม ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในแง่ของการยับยั้งเซลล์มะเร็งด้วย ซึ่งวันนี้ราจะมาพูดถึงการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ว่าต้องรับประทานอย่างไรบ้าง และต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง
 
สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระพอเพียงกับความต้องการ เราควรรับประทานผัก ผลไม้ สีเข้มเป็นประจำโดยล้างให้สะอาดทุกครั้ง นอกจากจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระแล้วยังได้รับใยอาหารด้วย ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับใยอาหาร เนื่องจากใยอาหารช่วยในการขับถ่าย ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ช่วยนำคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย เร่งการนำสารพิษที่อาจทำให้เป็นมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกายเร็วขึ้น


นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น รวมทั้งช่วยชะลอกระบวนการขั้นตอนที่ทำให้เกิดความแก่ โดยปกติร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำอันตราย แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระเร็วหรือมากเกินกว่าที่ร่างกายกำจัดได้ทัน จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

สารต้านอนุมูลอิสระลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้ 2 ทางคือ ลดการสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ดังนั้น คนทุกเพศทุกวัยจึงควรได้รับสารต้านอนุมูลอิสระให้พอเพียงต่อความต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายระหว่างสารต้านอนุมูลอิสระและอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น สำหรับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี ควรเน้นผัก ผลไม้ ถั่ว

 
โดยเฉพาะถั่วเหลือง และธัญพืชเป็นประจำ ลดอาหารไขมัน รับประทานอาหารให้หลากหลาย ลดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เพิ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ลดอาหารเค็ม อาหารหมักดอง ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1-2 ลิตรต่อวัน เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรละเลยก็คือ การออกกำลังกาย เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกทางหนึ่ง สำหรับใครที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ก็ควรงดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายได้

 
อย่างไรก็ตาม เราใส่ใจในเรื่องของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ของทุกคน เพื่อให้ทุกคนได้มี สุขภาพที่ดี เรามักจะย้ำมาเสมอว่า การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม หรือรับประทานอย่างถูกต้อง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรง ดื่มน้ำเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยทำให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้แล้ว เพราะการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แถมยังทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

15
ตรวจสุขภาพ: พิษคางคก (Toad poisoning/Bufotoxins poisoning)

ต่อมเมือกใกล้หู (parotid gland) ของคางคกจะขับเมือก (เรียกว่า ยางคางคก) ที่มีสารพิษ (bufotoxins/toad toxins) ซึ่งประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่มีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ที่สำคัญ คือ กลุ่มดิจิทาลอยด์ ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายดิจิทาลิส ทำให้เกิดพิษร้ายแรงต่อหัวใจถึงเสียชีวิตได้

นอกจากนี้ ยังมีสารสำคัญอื่น ๆ เช่น กลุ่มคาเทโคลามีน (catecholamines) ที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือด และกลุ่มอินโดลไคลามีน (indolekylamines) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้มีอาการประสาทหลอน

พิษมีอยู่ในหนัง เลือด ไข่ และเครื่องในของคางคกแทบทุกชนิดที่มีในบ้านเรา พิษมีความทนต่อความร้อน การบริโภคคางคกที่ทำให้สุกแล้วก็เกิดพิษได้

เด็กจะทนต่อพิษคางคกได้มากกว่าผู้ใหญ่

ในบ้านเรามีรายงานผู้ที่ป่วยและตายจากการบริโภคคางคกเป็นครั้งคราว

สาเหตุ

เกิดจากการบริโภคคางคกพิษโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงคล้ายได้รับพิษดิจิทาลิสเกินขนาด อาการจะเกิดขึ้นช้า ๆ หลังจากกินคางคกหลายชั่วโมง แรกเริ่มจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน บางรายอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดินร่วมด้วย

ต่อมาจะอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ เห็นภาพเป็นสีเหลือง มีอาการเปลี่ยนแปลงของระดับสติ เริ่มจากอาการสับสน เพ้อ ง่วงซึม มีอาการประสาทหลอน หรืออาการทางจิต จนในที่สุดมีอาการชัก หมดสติ

ที่ร้ายแรง คือ หัวใจเต้นช้าและเต้นผิดจังหวะ ในที่สุดเกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นระรัว (ventricular fibrillation) และเสียชีวิตในเวลารวดเร็วจากภาวะหัวใจวายหรือการไหลเวียนล้มเหลว


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญ คือ ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นระรัว (ventricular fibrillation) ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของโรคนี้

นอกจากนี้มักมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

มักตรวจพบชีพจรเต้นช้ากว่า 40 ครั้ง/นาที

ในระยะรุนแรง จะพบอาการชัก หมดสติ คลำชีพจรไม่ได้


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการและประวัติการกินคางคกเป็นสำคัญ ในบางแห่งอาจทำการตรวจหาสารดิจิทาลิสในเลือด และมักจะทำการติดตามประเมินอาการด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจหาระดับโพแทสเซียมเป็นระยะ ๆ

การรักษา ให้การรักษาขั้นพื้นฐาน (อ่านเพิ่มเติมที่ "การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ" ด้านล่าง) ถ้าพบว่าคลำชีพจรไม่ได้หรือหยุดหายใจให้ทำการกู้ชีพ

นอกจากนี้จะให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ในรายที่ชีพจรเต้นช้าให้อะโทรพีน ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker)

ในรายที่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะให้ยาแก้ไข เช่น ลิโดเคน (lidocaine) เฟนิโทอิน ควินิดีน อะมิโอดาโรน (amiodarone) เป็นต้น

ในรายที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ให้การรักษาด้วยการฉีดโซเดียมไบคาร์บอเนต กลูโคส และอินซูลิน

ถ้ามี digitalis FAB antibody ควรรีบให้ยานี้ทันที ซึ่งจะช่วยให้พิษหมดเร็ว และรอดชีวิตได้

การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ

1. ถ้าผู้ป่วยกินสัตว์หรือพืชพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียน รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียนด้วยการให้ไอพีเเคกน้ำเชื่อมหรือใช้นิ้วล้วงคอ

2. ให้ผู้ป่วยกินผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1 แก้ว โดยให้ผู้ป่วยดื่มเอง ถ้าอาเจียนหรือดื่มเองไม่ได้ ให้ป้อนผ่านท่อสวนกระเพาะ (stomach tube) ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ควรใส่ท่อช่วยหายใจก่อนเพื่อป้องกันการสำลัก

ควรให้เร็วที่สุดเมื่อพบผู้ป่วย (วิธีนี้จะได้ผลมากที่สุดเมื่อให้กินภายใน 30 นาทีหลังกินสัตว์หรือพืชพิษ) ไม่ควรให้ก่อนหรือหลังให้ยาที่ทำให้อาเจียน

ในรายที่รับพิษร้ายเเรง เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย เห็ดพิษร้ายแรง หรือสงสัยรับพิษปริมาณมาก ควรให้ซ้ำทุก 4 ชั่วโมง

3. ทำการล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำ

วิธีนี้จะได้ผลดี เมื่อผู้ป่วยกินสารพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และไม่มีอาการอาเจียน ถ้าทำหลังกินสารพิษมากกว่า 4 ชั่วโมง อาจไม่ได้ประโยชน์และไม่คุ้มกับผลข้างเคียง (ที่สำคัญคือ การสำลักเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ)

ควรกระทำโดยบุคลากรที่ชำนาญ และในที่ที่มีความพร้อม

ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก และห้ามทำในผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัว หมดสติ

อาจให้ผงถ่านกัมมันต์กินก่อนล้างกระเพาะ หรือผสมผงถ่านกัมมันต์ในน้ำล้างกระเพาะก็ได้

4. ให้ผู้ป่วยดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนต ขนาด 2-5% จำนวน 50 มล.

5. ให้กินยาระบาย ซอร์บิทอล (sorbitol) ขนาด 70% อาจกินเดี่ยว ๆ หรือผสมกับผงถ่านกัมมันต์แทนน้ำก็ได้ ถ้าไม่มีอาจให้ยาระบายอื่น ๆ เช่น ยาระบายแมกนีเซีย (Milk of Magnesia) แทน ให้ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง

ห้ามทำ ในรายที่มีอาการถ่ายท้องมากอยู่แล้ว หรือมีภาวะขาดน้ำที่ยังไม่ได้รับการทดแทน

6. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

7. ถ้าชักฉีดไดอะซีเเพม 5-10 มก.เข้าหลอดเลือดดำ

8. ถ้าหยุดหายใจหรือหายใจไม่ได้ ให้ทำการช่วยเหลือด้วยการเป่าปาก หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ

9. ถ้าหมดสติ ให้การรักษาแบบหมดสติ


การดูแลตนเอง

หากสงสัยว่าผู้ป่วยเกิดอาการพิษคางคก ควรทำการปฐมพยาบาลแล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

การปฐมพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่กินสารพิษ สัตว์พิษ หรือพืชพิษ

1. รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อขับพิษออก

    ถ้ามียากระตุ้นอาเจียน ได้แก่ ไอพีแคกน้ำเชื่อม (syrup ipecac) ให้กินครั้งละ 15-30 มล. (เด็กโต 15 มล.) และดื่มน้ำตามไป 1 แก้ว ถ้ายังไม่อาเจียนใน 20 นาที กินซ้ำได้อีก 1 ครั้ง
    ถ้าไม่มียา ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1 แก้ว แล้วใช้นิ้วล้วงเข้าไปเขี่ยที่ผนังลำคอกระตุ้นให้อาเจียน ถ้าไม่ได้ผลทำซ้ำอีกครั้ง

ควรเก็บเศษอาหารที่อาเจียน ไว้ส่งตรวจวิเคราะห์

วิธีนี้จะได้ผลดี ต้องรีบทำภายใน 1 ชั่วโมงหลังกินสารพิษ และไม่ต้องทำหากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเองอยู่แล้ว

ห้ามทำ ในผู้ป่วยที่ชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ หรือกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์ หรือสารพิษไม่ทราบชนิด

2. ถ้ามีผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ให้กินขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1/2-1 แก้ว เพื่อลดการดูดซึมสารพิษเข้าร่างกาย (ไม่ต้องทำถ้าผู้ป่วยกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์)

ถ้าไม่มีผงถ่านกัมมันต์ ให้กินไข่ดิบ 5-10 ฟอง หรือดื่มนมหรือน้ำ 4-5 แก้ว

3. สำหรับผู้ป่วยที่กินพาราควอต ให้กินสารละลายดินเหนียว (Fuller’s earth) โดยผสมผงดินเหนียว 150 กรัม หรือ 2 1/2 กระป๋อง ในน้ำ 1 ลิตร ถ้าไม่มีให้ดื่มน้ำโคลนดินเหนียวจากท้องร่องในสวน (ที่ไม่มีตะปูหรือเศษแก้ว หรือสารพิษตกค้าง) ซึ่งจะลดพิษของยานี้ได้

4. สำหรับผู้ที่กินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย ปลาทะเลพิษ หอยทะเลพิษ เห็ดพิษ ให้ดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนตขนาด 2-5% จำนวน 50 มล. (อาจเตรียมโดยผสมผงฟู 1-2.5 กรัม ในน้ำ 50 มล.) ซึ่งจะช่วยลดพิษของอาหารพิษได้

ห้ามทำ ข้อ 2-4 ถ้าผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ

5. ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

6. ถ้าผู้ป่วยชักหรือหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยชัก (อ่านใน "โรคลมชัก" เพิ่มเติม) หรือหมดสติ (อ่านใน "อาการหมดสติ" เพิ่มเติม)

7. รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ควรนำสารพิษที่ผู้ป่วยกินหรืออาเจียนออกมาไปให้แพทย์ตรวจวิเคราะห์ด้วย


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการกินคางคกทุกชนิด ไม่ว่าจะปรุงหรือเตรียมให้สุกด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม

2. หลีกเลี่ยงการกินยาจีนหรือยาแผนโบราณที่มีส่วนประกอบของคางคกผสม

ข้อแนะนำ

การรับพิษคางคกส่วนใหญ่เกิดจากการกินคางคกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่มีรายงานว่าในสหรัฐอเมริกามีผู้ที่ป่วยด้วยพิษคางคกจากการกินยาจีนที่ทำจากหนังคางคก (เชื่อว่าเป็นยาบำรุงทางเพศ)* ดังนั้นจึงควรมีความระมัดระวังในการใช้ยาแผนโบราณเป็นอย่างยิ่ง

หน้า: [1] 2 3 ... 47
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google