ภูมิแพ้อาหาร คือ ภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านโปรตีนในอาหารบางชนิด โดยปฏิกิริยานี้อาจรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การ
ตรวจภูมิแพ้อาหารจึงมีความสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาโรคภูมิแพ้อาหารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ 4 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการตรวจภูมิแพ้อาหาร ติดตามได้เลย
1. ความแตกต่างระหว่างภูมิแพ้อาหารและแพ้อาหารหลายคนมักเข้าใจผิดว่าภูมิแพ้อาหารและแพ้อาหารคือสิ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้ว ภูมิแพ้อาหารและแพ้อาหารเป็นภาวะที่แตกต่างกัน
ภูมิแพ้อาหาร คือ ภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านโปรตีนในอาหารบางชนิด โดยปฏิกิริยานี้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานมากเกินไป โปรตีนในอาหารบางชนิดจะถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม และถูกโจมตีโดยเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น ผื่นคัน บวม หายใจลำบาก จนถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้
แพ้อาหาร คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้ โดยอาหารเหล่านี้มักเป็นอาหารที่มีน้ำตาลแลคโตสหรือกลูเตนเป็นส่วนประกอบ อาการแพ้อาหารมักไม่รุนแรงเท่ากับภูมิแพ้อาหาร ส่วนใหญ่จะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาเจียน
2. วิธีการตรวจภูมิแพ้อาหารการทดสอบผิวหนัง เป็นวิธีการตรวจภูมิแพ้อาหารที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยการฉีดหรือจุ่มผิวหนังด้วยสารอาหารที่สงสัยว่าจะทำให้แพ้ หากผู้ป่วยมีอาการคัน บวม หรือแดงบริเวณที่ทดสอบ แสดงว่าผู้ป่วยมีภูมิแพ้ต่ออาหารชนิดนั้น
การทดสอบเลือด เป็นวิธีการตรวจที่ไม่เจ็บตัว โดยการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาปริมาณอิมมูโนโกบูลินชนิด E (Immunoglobulin E: IgE) ซึ่งเป็นแอนติบอดีชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านโปรตีนในอาหารบางชนิด หากผู้ป่วยมีระดับ IgE สูงต่ออาหารชนิดใด แสดงว่าผู้ป่วยมีภูมิแพ้ต่ออาหารชนิดนั้น
การทดสอบการแพ้อาหารด้วยการรับประทานอาหาร เป็นวิธีการตรวจภูมิแพ้อาหารที่มีความแม่นยำสูงที่สุด โดยการให้ผู้เข้ารับการตรวจรับประทานอาหารที่สงสัยว่าจะทำให้แพ้ โดยเริ่มจากการรับประทานในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น หากผู้ป่วยมีอาการแพ้อาหาร แสดงว่าผู้ป่วยมีภูมิแพ้ต่ออาหารชนิดนั้น
3. การตรวจภูมิแพ้อาหารเหมาะกับใครการตรวจรูปแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้อาหาร เช่น ผื่นคัน บวม หายใจลำบาก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ท้องเสีย หรืออาเจียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการเหล่านี้รุนแรงหรือเกิดขึ้นซ้ำๆ
นอกจากนี้ การตรวจภูมิแพ้อาหารยังเหมาะกับผู้ที่มีอาการเรื้อรังอื่นๆ ที่อาจเกิดจากภูมิแพ้อาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease: IBD) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคปวดข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) เป็นต้น
4. ข้อดีและข้อเสียของการตรวจภูมิแพ้อาหารข้อดี- ช่วยวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
- ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้แพ้ได้ เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้
- ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาโรคภูมิแพ้อาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย- ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
- ผลการตรวจอาจไม่แม่นยำเสมอไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้อาหารรุนแรง
การตรวจรูปแบบนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาโรคภูมิแพ้อาหารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม หากผู้ป่วยมีอาการแพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจภูมิแพ้อาหาร เพื่อจะได้ทราบสาเหตุของอาการแพ้และสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ