ผู้เขียน หัวข้อ: ยาแก้เมาเหล้า: เช็กตัวเอง เมาระดับไหน อันตรายอย่างไร  (อ่าน 9 ครั้ง)

siritidaphon

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 234
    • ดูรายละเอียด
ยาแก้เมาเหล้า: เช็กตัวเอง เมาระดับไหน อันตรายอย่างไร

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เหล้ามีฤทธิ์กระตุ้นร่างกาย ทำให้มีความสุข ลืมความทุกข์ จึงสนุกสนาน เฮฮาร่าเริง แต่อันที่จริงแล้ว เหล้าไม่ได้ไปกระตุ้นประสาท หรือสมองเลย มันกลับไปกดประสาทและสมองเป็นระยะ ๆ ดังนี้

   
ระยะแรก

จะไปกดสมองส่วนที่ควบคุมความคิด และสมองส่วนที่คอยยับยั้ง ควบคุมให้มีความระมัดระวัง เมื่อสมอง 2 ส่วนนี้ถูกเหล้ากดบังคับไว้ไม่ให้ทำงาน บุคคลผู้นั้นก็จะหมดความยับยั้งชั่งใจ และไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ทำให้พูดจาเอะอะ โผงผาง ที่เคยเป็นคนขี้อายหรือเงียบขรึม พอเหล้าเข้าปากแล้ว กลับหน้าด้านหรือพูดมากจนคนอื่นรำคาญ

เมื่อสมองส่วนที่คอยทำให้คนเราต้องคอยระวังกิริยามารยาทของตน ถูกเหล้ากดบังคับไว้ไม่ให้ทำงาน คนที่กินเหล้าจึงเกิดความรู้สึกสบายที่ไม่ต้องสำรวมกาย วาจา และใจ อีกต่อไป อารมณ์ที่ตึงเครียดก็จะถูกระบายออก ทำให้ความกระวนกระวายหรือความกังวลห่วงใยลดลง รู้สึกเหมือนกับว่าตนมีอิสรเสรีเต็มที่ และปล่อยตัวปล่อยใจตามสบาย

ฤทธิ์ของเหล้าอันนี้นั่นเองที่ทำให้คนติดเหล้า เพราะกินเหล้าแล้วทำให้หมดทุกข์ รู้สึกสนุกสนาน สำราญ และมีอิสระเสรีอย่างที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ฤทธิ์ของเหล้าอันนี้อีกนั่นแหละที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทงหรือเหตุรุนแรงอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะเหล้าทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ และทำให้เกิดความประมาทอย่างที่มีคนพูดว่า “พอเหล้าเข้าปาก เห็นช้างเท่าหมู” เป็นต้น

ระยะแรกนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงประมาณ 30-50 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 ซี.ซี. เช่น จากการดื่มเบียร์ประมาณ 1-2 ขวดใหญ่ หรือเหล้าประมาณ 2-4 ก๊ง แต่ฤทธิ์ของเหล้าหรือน้ำเมาต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า มากหรือน้อย ย่อมขึ้นกับความเคยชิน (ความจัดเจน) ต่อเหล้าหรือน้ำเมาของคน ๆ นั้นด้วย

   
ระยะที่สอง

สมองจะถูกกดมากขึ้น ทำให้สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวและการพูดถูกกดไปด้วย จึงเกิดอาการพูดไม่ชัด แบบที่เรียกว่าพูดอ้อแอ้ ลิ้นไก่สั้น เดินโซเซหกล้มหกลุก ประสาทการรับรู้ช้ากว่าปกติ ทำให้แก้ไข หรือหลีกเลี่ยงอันตรายต่าง ๆ ไม่ทัน จึงเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ได้ง่าย หรือไม่ก็ก่อให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุขึ้นเอง เพราะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหว ตลอดจนมือเท้า และ แขนขาของตนเองได้อย่างในเวลาที่ไม่เมาเหล้า

ระยะที่สองนี้ จะเกิดขึ้น เมื่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงประมาณ 100 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 ซี.ซี. เช่น จากการดื่มเบียร์ประมาณ 4-6 ขวดใหญ่ หรือเหล้าประมาณ 1 / 3-1 / 2 ขวดใหญ่ แต่ฤทธิ์ของเหล้าหรือน้ำเมาต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้ามากหรือน้อย ย่อมขึ้นกับความเคยชินต่อเหล้าหรือน้ำตาลเมาของคนนั้นด้วย

ระยะที่สองนี้ จึงเป็นระยะที่เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ จนอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น เรียกว่าเมาเหล้า ในบางประเทศถ้าเขาตรวจเลือดพบความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกิน 150 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 ซี.ซี. เขาจะถือว่าเป็นการเมาเหล้าแล้ว และถ้าเป็นเช่นนั้นในขณะขับรถ อาจจะถูกจำคุกและริบใบอนุญาตขับขี่ด้วย

   
ระยะที่สาม

สมองจะถูกกดมากขึ้น ๆ จนช่วยตัวเองเกือบไม่ได้เลย ถอดเสื้อถอดรองเท้าเองก็ไม่ได้ขึ้นยืนเองก็ไม่ได้ นั่งตรง ๆ ไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องฟุบกับโต๊ะ หรือนอนแผ่อยู่ตรงนั้นเอง ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดในระยะนี้จะสูงประมาณ 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 ซี.ซี.

   
ระยะที่สี่

สมองที่สำคัญ สำหรับการมีชีวิตอยู่เริ่มจะถูกกด เกิดอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว แล้วในที่สุดจะหมดสติและไม่รู้สึกตัวโดยสมบูรณ์ (โคม่า) สมองส่วนที่ควบคุมหัวใจและการหายใจจะถูกกดทำให้หายใจไม่สะดวก หายใจช้า หรือหายใจเป็นพัก ๆ จนกระทั่งหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น ทำให้ถึงแก่ความตาย ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดในระยะนี้จะสูงถึง 400-500 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 ซี.ซี.

พิษของเหล้าต่อสมองและระบบประสาทที่กล่าวมาข้างต้น เป็นพิษที่เกิดขึ้นทันที ส่วนพิษเรื้อรังที่เกิดขึ้น จะทำให้สติปัญญาเสื่อมลง มือไม้สั่น กล้ามเนื้อไม่มีแรง และถ้าเป็นมาก ๆ อาจจะเกิดอาการเหน็บชาและเป็นอัมพาตได้

 

ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google