‘ไวรัสตับอักเสบบี’ ตัวการเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง รู้ทันรักษาได้

‘ไวรัสตับอักเสบบี’ ตัวการเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง รู้ทันรักษาได้

รู้หรือไม่ประมาณ 90% ของคนที่เป็นมะเร็งตับ เคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ! อีกทั้งในประเทศไทยยังพบความชุกของโรคไวรัสตับอักเสบบีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เกิดก่อนปี 2535 ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคชุดนี้อาจบอกได้ว่าถึงเวลาที่เราทุกคนต้องตระหนักถึงภัยเงียบของโรคนี้กันอย่างจริงจัง จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรคไวรัสตับอักเสบบีว่าคืออะไร อาการของโรคเป็นอย่างไร ติดต่อกันได้ไหม อันตรายแค่ไหน พร้อมวิธีการป้องกันที่สามารถทำได้

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ?

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B หรือ HBV) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดบีที่ทำให้เซลล์ตับเกิดการอักเสบ โดยไวรัสตับอักเสบบีนี้เป็นโรคที่สามารถหายเองได้ ถ้าภูมิคุ้มกันตัวเองสามารถต่อสู้กับไวรัสได้ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หรือ 10 สัปดาห์ และจะไม่กลับมาเป็นซ้ำ แต่ถ้าภูมิคุ้มกันร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ก็จะทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตับแข็ง ตับวายและอาจกลายเป็นโรคมะเร็งตับได้ในอนาคต

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบได้ที่นี่ ไวรัสตับอักเสบ โรคติดต่อที่อาจทำให้คุณเสี่ยงถึงชีวิต

ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้ทางไหนบ้าง ?

ทุกวันนี้หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่าไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อกันได้ผ่านการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำร่วมกัน, ผ่านแม่ให้นมลูก, ผ่านการหายใจใกล้กัน หรือแม้กระทั่งการจูบ แต่ในความจริงแล้วการสัมผัสกันเหล่านี้ไม่สามารถส่งต่อเชื้อ หรือทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ ยกเว้นบริเวณที่สัมผัสนั้นมีแผลเปิดก็อาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้

ซึ่งเป็นเพราะว่าไวรัสตับอักเสบบีจะติดต่อกันได้ผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่งต่างๆ เพียงเท่านั้น และโดยส่วนมากจะติดต่อกันได้ผ่านทางปัจจัยเหล่านี้

    การคลอดลูก ในขณะที่แม่เป็นไวรัสตับอักเสบบีและคลอดลูก ลูกมีโอกาสติดเชื้อได้
    การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
    การใช้เข็มร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา, การสัก, การเจาะหู, หรือการฝังเข็มที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
    การใช้อุปกรณ์ของมีคมที่ปนเปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน, กรรไกร หรือแปรงสีฟัน


อาการของไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง

โดยปกติหลังได้รับเชื้อ เชื้อจะใช้เวลาฟักตัว 2-3 เดือน และจะถูกแบ่งเป็น 2 ระยะ คือเฉียบพลันและเรื้อรัง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วทั้ง 2 ระยะมักจะไม่ค่อยมีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ในบางรายที่ตับอักเสบและทำงานได้ลดลง จะสามารถสังเกตอาการของไวรัสตับอักเสบบีได้ ดังนี้

อาการของไวรัสตับอักเสบบี

1. อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ คล้ายเป็นหวัด

เนื่องจากตับมีหน้าที่คอยช่วยแปลงสารอาหารให้กลายเป็นพลังงานกับร่างกาย และเมื่อตับติดเชื้อ เกิดการอักเสบ ก็จะทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ร่างกายจึงขาดพลังงานและสารอาหาร ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงและมีไข้ต่ำๆ ได้


2. จุกแน่นชายโครงขวา หรือแน่นท้องข้างขวา

เมื่อเกิดการติดเชื้อจะทำให้ตับเกิดการอักเสบหรือทำงานผิดปกติไป ส่งผลให้ตับบวมโต และทำให้มีอาการจุกแน่นท้องขวาหรือตรงชายโครงขวาได้


3. ท้องอืด มีลมในกระเพาะอาหาร

นอกจากแปลงสารอาหารแล้วตับยังทำหน้าที่ผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นน้ำย่อยสำคัญในการช่วยย่อยไขมันของระบบทางเดินอาหาร เมื่อตับติดเชื้อจนผลิตน้ำดีได้น้อยลงก็จะทำให้ย่อยอาหารได้ไม่ดี เกิดอาการท้องอืดและรู้สึกมีแก๊สในกระเพาะอาหาร


4. เบื่ออาหาร

เพราะน้ำย่อยในกระเพาะน้อยลงทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ลดลง จึงทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อีกทั้งอาการท้องอืด มีลมในกระเพาะอาหารมักจะทำให้ในบางรายรู้สึกว่าเบื่ออาหารได้เช่นกัน


5. คลื่นไส้ อาเจียน

ไม่เพียงแต่การแปลงสารอาหารเท่านั้น ตับยังทำหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งกับร่างกายนั่นคือการกำจัดสารพิษ ซึ่งเมื่อตับอักเสบจนทำงานได้น้อยลง สารพิษที่ต้องถูกขับออกโดยตับก็จะสะสมไปทั่วร่างกาย และหากร่างกายสะสมพิษมากๆ กลไกตามธรรมชาติก็จะพยายามขับเอาสารพิษออก หนึ่งในนั้นคือการอาเจียน จึงทำให้คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนนั่นเอง


6. ปัสสาวะสีเข้ม

ในน้ำดีที่ตับได้ผลิตเอาไว้เพื่อช่วยย่อยอาหาร จะมีสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นสารที่มีสีเหลือง เมื่อตับทำงานได้ไม่ดี สารชนิดนี้จากปกติที่จะถูกขับออกไปพร้อมกับอุจจาระ ก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะแทน จึงทำให้สีปัสสาวะเข้มขึ้น อาจมีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีน้ำตาลได้


7. ตัวเหลือง ตาเหลือง

นอกจากสารบิลิรูบินในน้ำดีที่ตับไม่สามารถขับออกไปได้ผ่านทางปัสสาวะและอุจจาระแล้วนั้น สารนี้สามารถสะสมไปตกค้างในเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ ส่งผลให้ตัวเหลืองหรือตาเหลืองได้


8. คันตามผิวหนัง

อาการคันตามผิวหนัง ส่วนหนึ่งมาจากสารบิลิรูบินในน้ำดีที่ไปสะสมอยู่ตามผิวหนัง จึงทำให้เกิดอาการคันได้ รวมไปถึงการสะสมของพิษที่ตับไม่สามารถขับออกไปได้ ซึ่งก็ทำให้มีอาการคันตามผิวหนังได้เช่นกัน
ไวรัสตับอักเสบบีหายเองได้ไหม หรือรักษาหายไหม ?

ในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นชนิดเรื้อรังมีทั้งแบบรับประทานยาและฉีดยา โดยแพทย์จะพิจารณาจากเอนไซม์ตับ ปริมาณเชื้อไวรัสและการตรวจชิ้นเนื้อตับในการประเมินระยะของโรคก่อน เพื่อมุ่งเน้นลดปริมาณและยับยั้งเชื้อไวรัสที่ทำลายเซลล์ตับ แต่ทั้งนี้หากติดเชื้อและร่างกายมีภูมิคุ้มกันดี จะสามารถหายได้เองภายใน 6 เดือน แถมยังทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ไม่กลับมาเป็นซ้ำในอนาคตได้

 

ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google